เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระนะ ตั้งใจฟังธรรมะ เราอุตส่าห์ขวนขวายมาไง ขวนขวายมาเพื่อคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดีเป็นบัณฑิต ไม่ใช่คนพาล ไอ้พวกพาลหน้าด้านพวกนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ถ้ามันพาลมันหน้าด้าน ควรอยู่บ้านมัน มันไม่ควรมาที่วัด

ถ้าใครมาวัดแล้วมันต้องเป็นบัณฑิต บัณฑิตมันนุ่มนวลอ่อนหวาน นุ่มนวลมันควรแก้ไขได้ เราจะมาแก้ไขกันไง แก้ไขนะ แก้ไขในหัวใจของเรา ถ้าเราแก้ไขหัวใจของเรา เวลาทางโลกเขาบอกว่า เวลาคนที่จะปฏิบัติต้องเป็นคนดีก่อนๆ

แล้วเมื่อไหร่มันจะเป็นคนดีล่ะ ถ้ามันจะดีมันก็ดีโดยกิเลสไง ฉะนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ไม่ใช่ไปติดที่ดี เราไปติดที่ดีๆ ติดที่ดีก็ติดตรงนั้นน่ะ ความดีๆ ความดีของใคร ความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ธรรมเป็นทานๆ แล้วความดีของใคร ทุกคนก็เอาความดีมาอวดกัน ทุกคนเอาความดีมาขัดแย้งกัน แล้วมันดีอะไร ถ้าดีมันจะติดอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร

มันต้องข้ามพ้นดีและชั่ว แต่การข้ามพ้นดีและชั่วมันทำใจยาก เห็นไหม คนที่ไปทำบุญกุศลที่ไหนก็แล้วแต่ ไปแล้วไปใกล้ชิด ไปใกล้ชิดแล้วไปรู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูกต้อง แล้วมันเป็นความผิดพลาด ไม่กล้าออกมาหรอก เสียดาย ทำไปเยอะ เสียดาย คิดว่าเป็นความดีอันนั้นไง แล้วมันก็ดูดอยู่นั่นน่ะ แต่ถ้าเราสละทิ้งมันไปเสีย มันผิดพลาดเราก็ขวนขวายเอา เราก็ทำของเราใหม่ ถ้ามันผิดพลาดไป ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมาประพฤติปฏิบัติมานะ เวลาปฏิบัติไปมันจะละเอียดอ่อนขนาดไหนมันมีแต่สมุทัย มีแต่ความเจือปนของเราทั้งนั้นน่ะ แล้วไม่กล้าทิ้งอะไรทั้งสิ้น

เวลาหลวงตาท่านไปเจออวิชชา พวกเราว่าอวิชชา เวลาเขาวาดไว้ตามวัดตามวามันเป็นยักษ์เป็นมาร เวลาเป็นจริงท่านบอกว่ามันสวยยิ่งกว่านางสาวจักรวาล มันไปติด ไปยอมจำนนกับอวิชชาของตนเองน่ะ ไปยอมจำนนอยู่กับมันน่ะ ไปก้มหัวให้มันน่ะ ไปซุกอยู่เท้าของมันนั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะเราไม่เข้าใจไง ทั้งๆ ที่เราตั้งใจกันนะ เราตั้งใจกันเพื่อประพฤติปฏิบัตินะ เราตั้งใจเพื่อชำระล้างกิเลสนะ เราต้องการชำระล้างอวิชชาความไม่รู้ของเรา เวลาไปเจอมัน ไปยอมจำนนอยู่กับมันทั้งนั้นน่ะ นี่เพราะความไม่เข้าใจของเราไง

เวลาครูบาอาจารย์เราทำ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันต้องแก้ไขๆ แก้ไขสิ่งนั้นเข้าไป แก้ไข เราละเอียดเข้าไปขนาดไหนมันก็หลอกไปตลอด มันหลอกไปตลอด กิเลสมันหลอกไปตลอด แล้วเราไม่เคยรู้จักมันหรอก แล้วก็บอกว่าต้องรอให้มีมรรคพร้อมๆ

มรรคอะไร มึงรู้จักหรือ มึงรู้จักมันหรือเปล่า ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเคยเห็นหน้ามัน เพราะไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเคยเห็น ดูสิ เวลาหลวงตาท่านมีเพื่อนเป็นมหาเขียน มหาเขียนท่านจบ ๙ ประโยค หลวงตาจบ ๓ ประโยค เวลาจบ ๙ ประโยคแล้ว หลวงตาจบ ๓ ประโยคแล้วหลวงตาก็ออกมาประพฤติปฏิบัติ เขาเรียนถึงจบ ๙ ประโยคแล้วมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดโคราช เขาเป็นเจ้าคณะจังหวัด เขาใหญ่โตขนาดไหน เวลาสุดท้ายเขาลาออก เขาเป็นคนดีมาก จิตใจที่ฝักใฝ่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จิตใจเป็นธรรมๆ ไง ลาออกจากการเป็นเจ้าคณะจังหวัด ลาออกจากการเป็นเจ้าคณะจังหวัดแล้วก็เข้าไปจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปสร้างวัดในป่าในเขา แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน นี่เวลาประพฤติปฏิบัติของท่านนะ

เวลาญาติโยมเขาจะไปทอดผ้าป่า เขาก็นิมนต์หลวงตาไปด้วย หลวงตาท่านก็ไปด้วย เวลาเจ้าภาพก็ต้องเทศน์ ท่าน ๙ ประโยคนะ เป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัด เวลาท่านเทศน์ขึ้นมาท่านฟังแล้วท่านบอกมันเป็นภาคปริยัติ คือการศึกษามา

การศึกษามา คนเราศึกษามามีองค์ความรู้ขนาดไหนมันก็เป็นองค์ความรู้ของทางโลก องค์ความรู้ทางวิชาการ องค์ความรู้ทางวิชาการ ขนาด ๙ ประโยคเป็นเจ้าคณะจังหวัด แล้วมรรคมันอยู่ไหน รู้จักมรรคสักตัวไหม ไม่รู้จักสักตัว สมาธิยังทำไม่เป็น แต่เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านไป ท่านขวนขวายของท่าน ท่านทำคุณงามความดีของท่าน ท่านทำความจริงของท่าน ทำความจริง เวลาคนเราจะประพฤติปฏิบัตินะ จบ ๙ ประโยคมาแล้ว พอจบ ๙ ประโยคมาแล้วพยายามขวนขวายของตน จบ ๙ ประโยคมาแล้วเป็นเจ้าคณะจังหวัด มันก็ต้องมีบารมี มันก็มีคนส่งเสริม มีความรู้พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติไปแล้วมันมีแต่ความสงสัยทั้งนั้นน่ะ

เพราะเวลาหลวงตาท่านจบ ๓ ประโยค ท่านจะประพฤติปฏิบัติมันก็ยังเกิดความสงสัยขึ้นมา ท่านศึกษามานะ ศึกษามา เวลาเริ่มต้นการศึกษาก็อยากจะเป็นเทวดา เพราะบอกเทวดามันเป็นทิพย์สมบัติ โอ้โฮ! มันมีแต่ความอลังการทั้งนั้นเลย พอศึกษามากเข้าไป อ๋อ! ถ้าพรหมมันดีกว่าก็อยากไปพรหม เวลาศึกษาไป ถ้าพรหมแล้วมันก็ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้านิพพานแล้วมันยิ่งสิ้นกิเลสไปเลย มันเป็นวิมุตติสุข ก็อยากไปนิพพาน มันเชื่อมั่นขนาดนั้นนะ แต่เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติจริงๆ ขึ้นมามันก็สงสัย เพราะกิเลสมันพาให้สงสัย จะมีความรู้มาก ความรู้น้อยขนาดไหน ไอ้ความสงสัยในใจนั่นแหละมันพาให้สงสัย แล้วความสงสัยๆ นั้นมันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แล้วมันจะไปรู้อะไรเป็นความจริง แล้วเวลาจะปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้หรอก ฉะนั้น เวลาท่านถึงหาผู้ชี้นำที่ถูกต้องดีงาม ท่านถึงบอกว่าท่านตั้งเป้าไว้เลย จะไปหาหลวงปู่มั่นๆ

เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นว่า มหามาหาอะไร มหานิพพานใช่ไหม นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานเป็นความจินตนาการ เป็นความคาดหมายของสัตว์โลก มันก็คาดหมายกันไป นิพพานมันอยู่ในหัวใจ

ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เวลามหา มหาศึกษาเล่าเรียนมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมากๆ ที่เรากราบไหว้บูชากัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรากราบไหว้ เรากราบไหว้ปัญญาคุณ เมตตาคุณ พระกรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมามันประเสริฐสุดยอด มันเป็นแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันสุดยอดจริงๆ มันสุดยอดจริงๆ แล้วเราไปศึกษา เราศึกษาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ศึกษาโดยความเข้าใจของเรา เราก็ไปบิดเบือนอันนั้นเป็นความพอใจของเราเสีย ถ้าอันไหนไม่ถูกใจเราก็คัดทิ้งๆ ว่าอันนี้ไม่ใช่ ถ้าอันไหนใช่ก็ถือว่าอันนี้ใช่ แล้วใช่แล้วก็ยังเป็นความจำๆ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา

ฉะนั้น ถ้ามหาเวลาประพฤติปฏิบัติไปพร้อมกับภาคปริยัติ การศึกษามามันประเสริฐมาก แต่ให้เก็บไว้ในลิ้นชักในสมองไว้ก่อน คืออย่าเอาความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นมาเทียบเคียงกับการปฏิบัติของเรา แล้วเราทำความสงบของใจเข้ามา ปฏิบัติของเราไปก็ปฏิบัติของเราไป ถ้าจิตใจเวลามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เวลามันเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมา เวลามันสำเร็จแล้วมันจะเป็นอันเดียวกัน หลวงตาท่านก็เชื่อแล้วท่านก็พยายามจะไม่นึกถึงมัน แต่ก็นึก นี่กิเลสมันพานึกทั้งนั้นน่ะ เวลานึกทีไรมันก็เสื่อมทุกที นึกทีไรก็เป็นสัญญาทุกที นึกทีไรมันก็เป็นความทุกข์ความยากทุกที ถ้าวางไว้ไม่ไปสนใจมันแล้วก็พยายามพุทโธของเรา ใช้ปัญญาของเรา มันก็เป็นปัญญาของเราจริงๆ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก การศึกษามาของมหามันมีคุณค่ามาก แต่การศึกษาเวลาประพฤติปฏิบัติมันจะขัดมันจะแย้งกัน มันจะเป็นอุปาทาน มันจะสร้างภาพ มันรู้ไปก่อน

นี่ไง เอ็งจะไปหามรรคหาที่ไหน หาให้มันหลอกใช่ไหม มันไม่มีอยู่จริง ถ้าเป็นความจริง มรรคคืออะไร มรรคก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ สมาธิก็คือเกิดจากจิต แล้วถ้าเกิดปัญญา เกิดปัญญาจากจิต นี่ไง เวลาท่านไปศึกษา ศึกษาๆ มาอย่างนั้น เวลามหาเขียนท่านจบ ๙ ประโยค ท่านเป็นเจ้าหน้าที่จังหวัด เวลาท่านหลีกลี้ไปเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ เวลาญาติโยมท่านเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่บวช ท่านเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เป็นพระ ท่านเป็นเพื่อนกันมาตลอด ฉะนั้น ความเป็นเพื่อนกัน สังคมก็สังคมเดียวกัน สังคมคือหมู่คณะก็หมู่คณะเดียวกัน เวลาเขาไปทอดผ้าป่า เขานิมนต์หลวงตาไปด้วย เวลาท่านไปนั่งฟัง เวลาเทศน์มาท่านบอกเลย นั่นล่ะปริยัติทั้งนั้นเลย

สุดท้ายแล้วท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านก็ส่งพระของท่าน พระของท่านเป็นเพื่อนกับเรานี่แหละ ไปอยู่กับหลวงตาเป็นรุ่นๆ ไป ท่านก็เอาเทปไป เอาเทปออกมาฟัง เพราะท่านเป็น ๙ ประโยค ท่านมีองค์ความรู้ของท่านอยู่แล้ว ท่านก็คัดเลือกแยกแยะเอาสิ

ดูเวลาหลวงตาท่านบอกว่าท่านศึกษาอยู่ ท่านเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จนะ เป็นลูกศิษย์ของสมเด็จ สมเด็จเจ้าฟ้าอะไรฟังเทศน์เข้าใจหมดเพราะมันเป็นแนวทางเดียวกัน เวลาท่านไปเจอหลวงปู่มั่นครั้งแรก ท่านบอกว่าท่านฟังเทศน์หลวงปู่มั่นไม่ออก แต่มันดีอย่างหนึ่ง มันดีอย่างหนึ่งคือแขวนไว้ก่อนว่าหลวงปู่มั่นถูก เราผิด

นี่ฟังเทศน์เจ้าฟ้าเจ้าคุณมาหมด มันเป็นทางวิชาการ มันเป็นทางเรื่องโลกๆ ไง มันเป็นตรรกะที่ทุกคนเข้าใจได้ไง แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์ออกมาจากประสบการณ์ของท่าน ออกมาจากความจริงของท่าน เทศน์แล้วฟังไม่รู้เรื่อง แต่ท่านบอกว่าท่านมีวาสนา ท่านไม่รู้เรื่องขนาดไหนก็พยายามปรับตัวเอง พยายามศึกษา พยายามปรับตัวเองเข้าไปพอฟังเทศน์เข้าใจ

นี่ไง จะหามรรคๆ หามรรคที่ไหน ถ้ามรรค มรรคก็เป็นแต่ชื่อ มรรค ๘ ในธัมมจักฯ ก็มีทั้งนั้นน่ะ ใครก็ศึกษามรรค แล้วก็อวดรู้ อวดเอามาว่าเป็นมรรคๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องตรรกะ มันไม่เข้าสู่ใจ มันเกิดเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาไม่ได้ แล้วถ้ามันเป็นจริงมันก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าประเสริฐๆ

เวลากราบ กราบธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร ก็กราบธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ไหน หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ถ้ามีหนังสือเป็นตัวอักษร ท่านจะไม่ยอมนั่งเสมอเลย ท่านต้องเก็บไว้ในที่สูง เพราะท่านบอกว่าตัวอักษรมันสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

ท่านไม่ได้เคารพในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ท่านเคารพแม้แต่สื่อที่จะแสดงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านมีคุณธรรมในใจท่านยิ่งเคารพบูชา คำว่า “เคารพบูชา” มันเคารพจากหัวใจ เคารพจากสัจจะความจริงไง แต่มันเคารพเพราะอะไร เพราะจิตใจมันเป็นธรรมไง

ฉะนั้น สิ่งที่เราศึกษาๆ มาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านถึงบอกให้เก็บไว้ก่อน เราต้องการธรรมะของเราไง เวลาสุขเวลาทุกข์ ใครสุขใครทุกข์ เวลาเกิดศีล สมาธิ ปัญญา เราอยากเกิดกับเราใช่ไหม แล้วเราไปศึกษา ไปจำมา เป็นของเราหรือเปล่า เวลาไปศึกษา ไปจำมาก็นึกว่าของเราๆ

จำเขามา ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้เขาเรียกค่าลิขสิทธิ์นะ เอาไปพูดเขาปรับหมดล่ะ จับติดคุก อ้างอิงธรรมะพระพุทธเจ้าโดยไม่มีอยู่จริงในใจของตน แต่ถ้ามันฝึกหัดๆ ขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา เวลาเป็นความจริงขึ้นมามันจะเกิดสัจจะ เกิดความจริงขึ้นมาอย่างนี้ ถ้าเกิดสัจจะความจริงขึ้นมา เราต้องฝึกหัดของเรา เราต้องมีสัตย์ เราต้องมีการกระทำของเรา มันจะเกิดความจริงของเรา มันจะทุกข์มันจะยากมันก็เข้ามาสู่อำนาจวาสนาบารมีของคนแล้ว

คนเราจะมีอำนาจวาสนาบารมีขนาดไหน เวลาสร้างมา ขิปปาภิญญา ผู้ที่ตรัสรู้ง่าย คนที่ทำมา พิจารณาแล้วตรัสรู้ง่าย ดูสิ พระอัสสชิเวลาไปเทศน์สั่งสอนพระสารีบุตร โมคคัลลานะ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เป็นพระโสดาบันหมดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมองค์เดียว อีก ๔ องค์ยังไม่ได้ นี่ไง เวลาเทศน์ไปจนเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เวลาแสดงอนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่ความรู้คนไม่เท่ากัน อำนาจวาสนาคนไม่เท่ากัน ถ้าอำนาจวาสนาไม่เท่ากัน แต่เรามีศรัทธามีความเชื่อหรือไม่ ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา นี่คืออำนาจวาสนาที่สุดนะ เพราศรัทธาความเชื่อมันทำให้เรามาค้นคว้า ศรัทธาความเชื่อมันทำให้ทดสอบ ถ้าใครนั่งสมาธิภาวนา ใครทดสอบใจของตน นั่นน่ะมันเป็นการทดสอบในทางวิทยาศาสตร์ ทดสอบจิตใจของตน

จิตใจของตนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่ว่าทุกข์ที่ว่ายาก ไปศึกษามา ศึกษาก็เป็นวิธีการเท่านั้น ถ้าวิธีการขึ้นมาก็ชี้เข้ามาที่ใจ แล้วถ้าจะค้นหาใจของตนมันก็ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องนั่งสมาธิภาวนามันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา

จำมาขนาดไหน ศึกษามาขนาดไหน มหาเขียนจบ ๙ ประโยค ได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด จะได้ขึ้นเป็นเจ้าคณะภาคด้วย มันมีองค์ความรู้ขนาดไหน เวลาหลวงตาท่านไปฟังๆ ไปฟังแล้วบอกว่ามันเป็นสัญญาทั้งหมด เป็นการจำมาทั้งนั้น

แต่ท่านก็ประพฤติปฏิบัติโดยเอาข้อเท็จจริง ลูกศิษย์นะ ส่งลูกศิษย์มาอยู่กับหลวงตา ส่งลูกศิษย์มา ท่านก็เอาเทปที่เข้มข้นๆ แกงหม้อเล็ก แกงหม้อจิ๋วของหลวงตาส่งไปให้ กลางคืนขึ้นมาเปิดฟัง พอเปิดฟังขึ้นมา การเทศน์อย่างนั้นก็เป็นการแสดงธรรม การเทศน์ในภาคปฏิบัติ ไม่ใช่การเทศน์ในภาคปริยัติ แล้วท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เทียบเคียงใจของตน มันจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ สิ่งที่หลวงตาพูด พระอรหันต์ที่พูด พูดจากอะไร พูดจากจิตใจที่มันพัฒนาจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน จะเป็นโสดาปัตติมรรค เป็นโสดาปัตติผล เป็นสกิทาคามิมรรค เป็นสกิทาคามิผล เป็นอนาคามิมรรค เป็นอนาคามิผล เป็นอรหัตตมรรค เป็นอรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์อย่างนั้นน่ะ แล้วถ้าใครมีวุฒิภาวะฟังได้ เข้าใจได้ มันจะเหินขึ้นไปอย่างนั้น

เทศน์แต่ละกัณฑ์ๆ ของครูบาอาจารย์ท่านแต่ละเทศน์ ท่านเทศน์ตั้งแต่ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วเวลาคนช่วยตัวเองได้ พิจารณาได้ แล้วถ้าจิตใจเราเป็นๆ ถ้าจิตใจเราไม่เป็น มันคืออะไร ถ้าไม่เป็นคือไม่รู้ ถ้าไม่รู้คือมันไม่เข้าใจ แต่ถ้ามันเข้าใจขึ้นมา มันเป็นอันเดียวกัน มันทดสอบใจได้ไง ในการฟังเทศน์ๆ มันทดสอบใจของตน มันทดสอบใจของตนว่าในภาคปฏิบัติเขาปฏิบัติกันแล้วเป็นแบบนี้ๆ มันก็เหมือนสินค้า สินค้าที่ทำเสร็จแล้วเขาก็ต้องทดสอบว่ามันมีคุณภาพจริงหรือเปล่า มันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นจริง เขาไม่ให้เข้าท้องตลาด เขาไม่ให้ขาย

นี่เหมือนกัน ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมามันก็ไม่เท่าทันกิเลส มันก็ไม่เท่าทันความมีคุณธรรมในใจของตน ถ้ามันมีสติมีปัญญามันมีสติปัญญาอย่างนี้ มีสติปัญญาเพื่อทดสอบตน มีสติปัญญาเพื่อทดสอบ ทดสอบเข้าไป เวลาครูบาอาจารย์ท่านแก้ปัญหา เวลาคนไปถามหลวงตาว่าพระปฏิบัติแล้วควรทำอย่างไรต่อ ที่ทำมานี่ถูกไหม

ถูก

แล้วทำอย่างไรต่อไป

ให้ซ้ำๆๆ

ให้ซ้ำๆ คือทดสอบๆ นี่ไง การทดสอบไง การทดสอบ ขนาดทดสอบแต่ละครั้งขึ้นมา เราทำวิจัยขึ้นมากว่าจะมีองค์ความรู้แต่ละเรื่องมันแสนทุกข์แสนยาก แล้วมีองค์ความรู้ขึ้นมาแล้ว องค์ความรู้นี้มันใช้ได้หรือเปล่า ถ้าองค์ความรู้ขณะนั้นมันสมดุล มันเป็นจริงของมัน แล้วเวลาปกติมันจะเป็นจริงหรือไม่ ทดสอบๆๆ ทดสอบจนเวลามันทดสอบ ตทังคปหาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาด มันสมบูรณ์ของมัน เวลามันขาดมันต้องมีกิเลสขาด มันต้องมีกิเลสตาย เวลากิเลสตายไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกใครบรรลุธรรมๆ มันเหมือนดั่งแขนขาด ดั่งแขนขาด ตัดสังโยชน์ขาด แล้วความขาดอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วคนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันจะพิจารณาอย่างไร คนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันจะรู้ได้อย่างไร แต่คนที่รู้ได้ๆ มรรคมันเกิดตรงนี้

เวลามรรคมันเกิดๆ ดวงใจดวงใดไม่มีมรรค ดวงใจดวงนั้นไม่มีผล ถ้ามรรคมันสมบูรณ์ มรรคมันเกิดขึ้นมา มรรค ๔ ผล ๔ ถ้ามันมีมรรค ๔ มันก็มีผล ๔ ถ้ามันไม่มีมรรค มันก็สัญญา ก็จำเอา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ไม่ประเสริฐมากจะ เอกํ นาม กึ หรือ จะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซ้อนกัน เพราะเกิดแต่ละองค์มันแสนยาก แล้วเกิดมาแล้วเผยแผ่ธรรมๆ พวกเรานี้พวกที่มีอำนาจวาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนาฟังแล้วมันฟังเข้าใจไง

ฟังธรรมๆ นะ คนที่มีอำนาจวาสนาฟังธรรมโดยภาคปฏิบัติมันจะเข้าใจ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันก็ต้องฟังธรรมในภาคปริยัติ “โยม ทำบุญนะ จะได้ไปเกิดบนชั้นนั้นๆ สวรรค์” นั่นน่ะภาคปริยัติเขาจะเจริญศรัทธาๆ ไง

แต่ของเรามันมาพร้อมแล้วไง บุญก็คือบุญ บุญได้ทำแล้ว ตอนนี้ก็ประพฤติปฏิบัติ ตอนนี้จะค้นคว้า ตอนนี้มีการกระทำ จะเอาความจริงขึ้นมา บุญใครทำก็ได้ ถ้าแสวงหาใครทำก็ได้ แต่ภาคปฏิบัติมันต้องเป็นสัจจะเป็นความจริงของตน ถ้าความจริงของตน จะจิตใจเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหนมันถึงจะบังคับให้ตนนั่งสมาธิภาวนาได้ ถ้านั่งสมาธิภาวนาขึ้นมามันจะเกิดมรรคเกิดผลที่นั่น มันเหมือนมีการกระทำ ที่ไหนมีการกระทำ ที่นั่นก็จะมีผล ที่นั่นไม่มีการกระทำ ที่นั่นไม่มีผล

ถ้าค้นหาใจของตนไม่เจอ ถ้าทำสมาธิไม่เป็น สิ่งที่ทำนั้นลอยลม สูญเปล่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ถ้าจิตมันสงบแล้วใครเป็นคนรู้ สติ จิตไม่รับรู้ สมาธิของเรา วิปัสสนาเกิด ปัญญาของเรา มรรคผลเกิด มรรคผลของเรา ของจิตดวงนั้น ของจิตดวงนั้นตลอด นี่ไง การกระทำกระทำอย่างนี้

ทีนี้เวลาทำบุญๆ เป็นอามิส เราก็อ้อนวอน พยายามให้ตรงเป้าหมาย ทำให้เราสู่เป้าหมายของเราให้ได้ อันนั้นเป็นทาน ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม มีทานแล้วมาจำศีล จำศีลแล้วภาวนาเป็นไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีทานแล้วก็จำศีล จำศีลแล้วภาวนา ภาวนาเป็นขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นมา เกิดมรรคเกิดผลในใจขึ้นมา มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในใจดวงนี้

วันนี้วันพระ ถ้าใครทำได้อย่างนี้ ใครทำได้อย่างนี้ๆ มันจะเข้าสู่พุทธะในใจของเราไง ใจของเราจะเป็นพระ เป็นผู้ประเสริฐไง การกราบการอ้อนวอน การอ้อนวอนเพื่อให้จิตใจมันสว่างไสว จิตใจมันมีศรัทธาความเชื่อ มันถึงได้มุมานะมีการกระทำ

การทำงานทางโลกอาบเหงื่อต่างน้ำทำเสร็จแล้วพรุ่งนี้ก็ทำใหม่ ทำเสร็จแล้วก็ต้องมีการกระทำใหม่ การประพฤติปฏิบัติ เวลาทำเสร็จแล้ว เสร็จจบ อกุปปธรรมๆ ไม่มีการรื้อฟื้น ไม่มีการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น มันจะจบสิ้นกระบวนการในใจของมัน จิตดวงนี้ถึงมีคุณค่า นิพพานคงที่ จิตก็คงที่ แต่คงที่โดยมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เวลาใช้วิปัสสนาญาณเข้าไปแก้ไข เวลามันเข้าไปสู่สัจธรรม สู่สัจจะความจริงอันนั้นมันจะคงที่แบบผู้ที่รู้ ผู้ที่เข้าใจ ไม่ใช่คงที่ที่เอามาแอ๊ก เอามาเถียงกัน เอามาอวดกัน อวดกันว่าเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่รู้ ฉันก็พูดแอ๊กไปอย่างนั้นน่ะ เวลาเขาถามจริงๆ ขึ้นมา ตอบเขาไม่ได้ เพราะจำของหลวงตามา จำของหลวงปู่มั่นมา เขาถามจริงๆ ตอบเขาไม่ได้ เอาไว้อวดกันไง

เขาไม่เอาไว้อวด เขาเอาไว้ชำระล้างกิเลส เขาให้ทำความจริงขึ้นมา เราจะเป็นคนจริงทำเพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง